Loading...

กองทุนประกันสังคม (Social Security Fund)

/กองทุนประกันสังคม (Social Security Fund)
กองทุนประกันสังคม (Social Security Fund) 2025-02-20T09:27:47+00:00

กองทุนประกันสังคม  (Social Security Fund)

ประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่มีรายได้ และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตรทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์ ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

ประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำปี 2568
   เริ่มให้เปลี่ยนตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568

รายชื่อสถานพยาบาลประกันสังคม ปี 2568
ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ช่องทางไหนบ้าง
1. ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลผ่านเว็ปไซต์ สำนักงานประกันสังคมได้ โดยทำตามขั้นตอน
ในระบบเว็ปไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th
2. ผ่าน App sso+
3. ผู้ประกันตนสามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล ให้ยื่นแบบฟอร์ม สปส.9-02 สามารถยื่นผ่านบุคคลอื่น
โดยมิต้องมอบอำนาจหรือส่งทางไปรษณีย์ ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/พื้นที่ /จังหวัด ที่สะดวก

วิธีการตรวจสอบข้อมูลสิทธิประกันสังคม

ตรวจสอบสิทธิประกันสังคม       

หากผู้ประกันตนต้องการตรวจสอบสถานพยาบาลตามสิทธิ สามารถตรวจสอบได้สถานพยาบาลได้ดังนี้
วิธีเช็คผ่านเว็บไซต์สำนักประกันสังคม

ขั้นตอนที่ 1 เข้า Google พิมพ์คำว่า “เช็คสิทธิ์ประกันสังคม” จากนั้นกดเข้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม หรือ คลิกที่นี่  
ขั้ นตอนที่ 2 กดที่ไอคอน “ผู้ประกันตน”
ขั้นตอนที่ 3 กรอกรหัสประจำตัวประชาชน 13 หลักและรหัสผ่าน จากนั้นกด “เข้าสู่ระบบ”
(
กรณียังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถดูขั้นตอนการสมัครได้   ที่นี่) 
ขั้นตอนที่ 4 กดที่ไอคอน “ผู้ประกันตน”
ขั้นตอนที่ 5 สามารถตรวจสอบข้อมูลของท่านได้

  การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคม ปี 2567
    (วันที่ 10 กันยายน 2567   เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องประชุม 801 อาคารจามจุรี 10)

สิทธิประกันสังคม ที่ผู้ประกันตนจะได้รับมีอะไรบ้าง

สำหรับสิทธิประกันสังคม ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันแล้วแต่กรณี

1. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย  อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน

เงื่อนไขการใช้สิทธิ์  :   ต้องจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์
(จ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ก่อนเดือนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย)

สิทธิประโยชน์  :    ผู้ประกันตนสีสิทธิเข้ารับการบริการในสถานพยาบาลมี่สำนักงานกำหนดสิทธิ โดยการตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง ตามรายการและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด รวมถึงการฉีดวัคซีนตามสถานการณ์การระบาดของโรคที่กำหนดขึ้นในแต่ละปี โดยสามารถสรุปการบริการทางการแพทย์ได้ตามแผนภาพดังนี้

เจ็บป่วยปกติ   สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลตามสิทธิหรือเครือข่ายของสถานพยาบาลนั้นได้ฟรี โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD)

ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน 
กรณีเข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลรัฐ
ผู้ป่วยนอก (OPD) เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง
ผู้ป่วยใน (IPD) เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่นับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
กรณีเข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลเอกชน
ผู้ป่วยนอก (OPD) เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 1,000 บาท หรือ เกิน 1,000 บาทได้ หากมีการตรวจรักษาตามรายการในประกาศของคณะกรรมการการ   แพทย์
ผู้ป่วยใน (IPD) กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท ค่าห้องและค่าอาหาร ไม่เกินวันละ 700 บาท และสำหรับกรณีที่รักษาใน ห้อง ICU เบิกค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง และค่าอาหาร ได้รวมไม่เกินวันละ 4,500 บาท ผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละ 8,000-16,000 บาท ค่ายา และค่าอุปกรณ์ เบิกได้ไม่เกิน 4,000 บาท ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และค่าเอกซเรย์ เบิกได้ไม่เกิน 1,000 บาท

ประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต    เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ นับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ และในกรณีที่ผู้ประกันตนได้รับบริการทางการแพทย์จนพ้นภาวะวิกฤตแล้ว จะส่งตัวไปเข้ารับการรักษาต่อ ณ สถานพยาบาลที่สำนักงานกำหนดสิทธิ

ทันตกรรม    ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุด รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 900 บาท/ปี

2. กรณีทุพพลภาพ อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน    

เงื่อนไขการใช้สิทธิ:   ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการทำงาน  (จ่ายเงินครบ 3 เดือน ก่อนเดือนที่ทุพพลภาพ)

สิทธิประโยชน์
1. เงินทดแทนการขาดรายได้

  • ทุพพลภาพระดับเสียหายไม่รุนแรง (การสุญเสียตั้งแต่ร้อยละ 35-49)   รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 30 หรือในส่วนที่ลดลงแต่ไม่เกินร้อยละ 30ของค่าจ้าง ไม่เกิน 180 เดือน 
  • ทุพพลภาพระดับเสียหายรุนแรง (การสูญเสียตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป)   รับเงินทดแทนการขาดรายได้เป็นรายเดือนตลอดชีวิต ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง

2. ค่าบริการทางการแพทย์
กรณีเจ็บป่วยปกติ
เข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลรัฐ   – ผู้ป่วยนอก (OPD) รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง และผู้ป่วยใน (IPD) เข้ารับบริการได้
โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เข้ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลเอกชน   – ผู้ป่วยนอก (OPD) รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท
และผู้ป่วยใน (IPD) ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต     เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา
72 ชั่วโมง นับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์

3. ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ     กรณีเข้ารับการบริการทางการแพทย์ เหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท

* กรณีผู้ทุพพลภาพเสียชีวิต  จะได้รับค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีตายให้แก่ทายาท

 

3. กรณีเสียชีวิต  

เงื่อนไขการใช้สิทธิ : สาเหตุการเสียชีวิตต้องไม่เกิดจากการทำงาน และจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน
ก่อนถึงแก่ความตาย (จ่ายเงินสมทบครบ 1 เดือน ก่อนเดือนที่ถึงแก่ความตาย)

สิทธิประโยชน์

  • ผู้จัดการศพสามารถขอค่าทำศพได้ 50,000 บาท
  • เงินสงเคราะห์การตายให้แก่ทายาท ซึ่งจะได้เงินสงเคราะห์ ดังนี้
    หากผู้เสียชีวิตจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไปแต่ไม่ถึง 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง X 4
    หากผู้เสียชีวิตจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ไม่ 120 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง X 12

4. กรณีคลอดบุตร 

เงื่อนไขการใช้สิทธิ : ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันที่รับบริการ
ทางการแพทย์ (จ่ายเงินสมทบครบ 5 เดือน ก่อนเดือนที่คลอดบุตร)

สิทธิประโยชน์

  • เบิกค่าฝากครรภ์ : เท่าที่จ่ายจริงจำนวน 5 ครั้ง วงเงินรวมไม่เกิน 1,500 บาท  รายละเอียด      อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 
  • เบิกค่าคลอดบุตร : เหมาจ่ายวงเงิน 15,000 บาท ต่อครั้ง (เบิกได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
  • เบิกเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร : เบิกได้ 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย (สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน) 
    เป็นระยะเวลา 90 วัน (รวมวันหยุดราชการ) (ใช้สิทธิได้เฉพาะบุตรคนที่ 1 และ 2 เท่านั้น)

* กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่  สามารถเลือกใช้สิทธิได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

* *  ผู้ประกันตนชาย   ซึ่งมีภรรยาที่จดทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือมีหญิงที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาโดยเปิดเผยและไม่มีภริยาอื่น
ที่จดทะเบียนสมรส

เอกสารประกอบการยื่นคำขอประโยชน์ทดแทน กรณีคลอดบุตร
1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส. 2-01 ผู้ประกันตนกรอกข้อความครบถ้วน พร้อมลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอ
2. สำเนาสูติบัตรบุตร 1 ชุด (กรณีคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัตรของคู่แฝดด้วย)
3. สำหรับผู้ประกันตนชายให้แนบสำเนาทะเบียนสมรส กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสให้แนบหนังสือรับรองของผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรส
4. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่นคำขอมีธนาคาร ดังนี้
(1) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)     (2) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)    (3) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)     (4) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย   (5) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)  (6)  ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)    (7) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)    (8)ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)      (9) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)             

หมายเหตุ
สถานที่ยื่นเรื่อง : 
ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา ที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)

 

5. กรณีสงเคราะห์บุตร

เงื่อนไขการใช้สิทธิ : จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน  ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิ
(จ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือน ก่อนเดือนที่จะใช้สิทธิ)  เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรม หรือบุตรที่ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น

สิทธิประโยชน์

  • ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาท 
    โดยต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์
  • สามารถขอใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 3 คน

6. กรณีว่างงาน

เงื่อนไขการใช้สิทธิ

  • จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน
  • มีระยะเวลาว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป
  • ผู้ประกันตนขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงานผ่าน เว็บไซต์ กรมการจัดหางาน ของรัฐภายใน 30 วันนับแต่วันที่ลาออกจากงานหรือถูกเลิกจ้าง
  • รายงานตัวเป็นผู้ว่างงานผ่าน เว็บไซต์ กรมการจัดหางาน ของรัฐ ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
  • เป็นผู้มีความสามารถในการทำงานและพร้อมจะทำงานตามที่สำนักงานจัดหางานของรัฐจัดหาให้
  • ไม่ปฏิเสธที่จะฝึกงาน
  • จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน
  • ต้องไม่ถูกเลิกจ้างในกรณี ทุจริตต่อหน้าที่ หรือ จงใจให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือทำผิดกฎหมายกรณีร้ายแรง หรือ ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร หรือ ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา และไม่ใช่ผู้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ

 สิทธิประโยชน์

  • กรณีที่ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วันต่อปีปฏิทิน
  • กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามระยะเวลา จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วันต่อปีปฏิทิน
  • กรณีถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 200 วันต่อปีปฏิทิน
  • กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง  จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละ 45 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วันต่อปีปฏิทิน

* ค่าจ้าง *      หมายถึง  ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่นำส่งสำนักงานประกันสังคม
ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 15,000 บาท

เอกสารประกอบการยื่นคำขอประโยชน์ทดแทน กรณีว่างงาน
1.แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส. 2-01/7
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

3. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่นคำขอมีธนาคาร ดังนี้
(1) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)     (2) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)    (3) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)     (4) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย   (5) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)  (6)  ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)    (7) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)    (8)ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)      (9) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)             

หมายเหตุ
สถานที่ยื่นเรื่อง : 
ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา ที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)

 

7. กรณีชราภาพ
แยกเป็น 2 กรณีดังนี้ 

กรณีบำนาญชราภาพ  (จ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต)
เงื่อนไขการใช้สิทธิ

  • จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่ต้องจ่าย 180 เดือนติดต่อกัน)
  • มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

สิทธิประโยชน์

  • ถ้าจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือน ในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
  • ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน (15 ปี) จะได้รับการปรับเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพขึ้นอีกร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน
  • กรณีผู้รับบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน (5 ปี) ให้จ่ายบำเหน็จแก่ทายาทจำนวน 10 เท่า ของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับก่อนถึงแก่ความตาย

กรณีบำเหน็จชราภาพ  (จ่ายครั้งเดียว)
เงื่อนไขการใช้สิทธิ

  • จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
  • มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

สิทธิประโยชน์

  • กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบต่ํากว่า 12 เดือน ให้จ่ายเงินบําเหน็จชราภาพ มีจํานวนเท่ากับจํานวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้ึ้นไป ให้จ่ายเงินบําเหน็จชราภาพ มีจํานวนเท่ากับจํานวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สํานักงานประกันสังคมประกาศกําหนด
  • กรณีผู้รับเงินบํานาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบํานาญชราภาพให้จ่ายเงินบําเหน็จชราภาพจํานวน 10 เท่าของเงินบํานาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับคราวสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

เอกสารประกอบการยื่นคำขอประโยชน์ทดแทน กรณีรับเงินบำนาญ/บำเหน็จชราภาพ
1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส. 2-01) 
2. กรณีผู้ประกันตนเสียชีวิต
– สำเนาใบมรณะบัตร 
– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ตาย/ผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพ  
– สำเนาทะเบียนสมรสของผู้ประกันตนและของบิดามารดา (ถ้ามี) 
– สำเนาสูติบัตรของบุตร หรือสำเนาทะเบียนบ้านของบุตร กรณีไม่มีสูติบัตร 
3. กรณีเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุลให้แนบสำเนาเอกสารใบเปลี่ยนชื่อ – สกุลด้วย 
4. กรณีผู้ประกันตนต่างชาติขอรับประโยชน์ทดแทนให้ใช้สำเนาบัตรประกันสังคมและสำเนาหนังสือเดินทาง (passport)
หรือสำเนาหนังสือเดินทางชั่วคราว หรือเอกสารรับรองบุคคลที่ทางราชการออกให้ จำนวน 1 ชุด 
และการรับเงินให้ใช้เอกสารฉบับจริง
5. หนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพ (ถ้ามี) 
6. การจ่ายเงินกรณีบำเหน็จชราภาพ
– กรณีผู้มีสิทธิมารับเงินด้วยตนเองต้องนำบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) ไปแสดง
– กรณีมอบอำนาจต้องทำเป็นหนังสือและนำบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) ของผู้มอบ และผู้รับมอบไปแสดง
– กรณีรับเงินทางธนาคารให้แนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ประกันตน
โดยสามารถเลือกรับได้ที่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)  ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)   และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
7. การจ่ายเงินกรณีบำนาญชราภาพผ่านธนาคารเท่านั้น ให้แนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้ำแรกที่มีชื่อ
และเลขที่บัญชีของผู้ประกันตน (ตามธนาคาร ข้อ 5.)

8. เอกสารประกอบการยื่นคำขอฯที่เป็นสำเนาให้รับรองความถูกต้องของสำเนาทุกฉบับ และแสดงเอกสารที่เป็นต้นฉบับเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบกรณีเอกสารหลักฐานสำคัญต่อการพิจารณาเป็นภาษาต่างประเทศให้จัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและรับรองความถูกต้องให้ครบถ้วน

คำถามที่พบบ่อย 


Q : ผุ้ประกันตนเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิ นอกเวลาราชการ เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่
A : การรักษาที่สถานพยาบาลตามสิทธิรักษาพยาบาล หากอยู่นอกเวลา แนะนำติดต่อที่ส่วนฉุกเฉิน/อุบัติเหตุ จะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากผู้ประกันตนเข้ารักษาที่คลินิกนอกเวลาเอง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
Q : กรณีผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามกำหนดสิทธิการรักษาพยาบาลแล้วขอนอนห้องพิเศษจะเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่อย่างไร
Aผู้ประกันตนต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนเกินจากที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดและไม่สามารถเบิกคืนได้ เพราะผู้ประกันตนเป็นผู้ร้องขอเอง
Q : ผู้ประกันตนที่ต้องการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจะต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่
A : ผู้ประกันตนสามารถตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามโปรมแกรมของการตรวจสุขภาพประจำปีฟรี ในโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ
Q : กรณีคลอดบุตรสามารถยื่นเรื่องย้อนหลังเพื่อรับเงินค่าเหมาจ่ายทำคลอดได้หรือไม่
A : สำหรับสิทธิเบิกค่าคลอดเหมาจ่าย ผู้ประกันตนสามารถเบิกสิทธิได้หากยื่นเรื่องภายในเวลา 1 ปีนับจากวันที่บุตรเกิด
Qการยื่นเรื่องย้อนหลังจะทำให้ได้เงินสงเคราะห์บุตรย้อนหลังด้วยหรือไม่
A : ถ้าคุณมีการจ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือนภายใน 36 เดือนอย่างต่อเนื่องก่อนหน้าที่บุตรคุณคลอด ทางประกันสังคมก็จะจ่ายนับตั้งแต่เงินสมทบครบ 12 เดือน โดยจะมีการย้อนจ่ายของเดือนเก่าให้หากคุณเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรมาตั้งแต่ต้น

Q :  ผู้ประกันตนขาดส่งเงินสมทบกี่เดือนถึงหมดสิทธิการเป็นผู้ประกันตน
A
:  ผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครอง ต่อ 6 เดือนหลังจากสิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน
Q : ผู้ประกันตนทำงานกับนายจ้างหลายราย ต้องปฏิบัติอย่างไร
A : กรณีผู้ประกันตนมีการทำงานหลายบริษัท และยังทำงานกับบริษัทเดิมอยู่ ให้แจ้งที่บริษัทใหม่ ในการกรอกแบบ สปส.1-03 แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน จะต้องระบุชื่อบริษัทที่ยังทำงานในช่องกรณีทำงานกับนายจ้างหลายราย เนื่องจากหากมีการแจ้งขึ้นทะเบียนโดยบริษัทใหม่และไม่มีการระบุว่าทำงานกับนายจ้างหลายราย ระบบจะแจ้งให้เป็นลาออกจากบริษัทเดิม โดยอัตโนมัติและไม่ปรากฎวันที่ลาออก
Q : ลูกจ้างเข้าทำงานกับนายจ้างตอนอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน ได้หรือไม่
A : หากลูกจ้างเข้าทำงานกับนายจ้างตอนอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ ไม่สามารถขึ้นทะเบียนประกันสังคมได้ จึงไม่สามารถใช้สิทธิที่ไม่เนื่องจากการทำงานได้ แต่ถ้าเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานสามารถใช้สิทธิกองทุนเงินทดแทนได้
Q : จะใช้สิทธิ์ที่โรงพยาบาลใหม่ได้เมื่อไร ?
A : หลังจากยื่นเรื่องแล้ว เราสามารถใช้สิทธิประกันสังคมที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ได้ตามเงื่อนไขดังนี้
– กรณีสำนักงานประกันสังคม รับเอกสารขอเปลี่ยนโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 1 ถึง 15 (ก่อน 16.30 น.ของวันที่ 15) เราจะสามารถเข้ารับบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งใหม่ได้ในวันที่ 16 ของเดือนนั้น
– กรณีสำนักงานประกันสังคม รับเอกสารขอเปลี่ยนโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 16 ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือน (ก่อน 16.30 น.ของวันสุดท้ายของเดือน)  เราจะสามารถเข้ารับบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งใหม่ได้ในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป
Q : ผู้ประกันตน สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ที่ไหนบ้าง
A : ผู้ประกันตนสามารถ เปลี่ยนสถานพยาบาลผ่านเว็ปไซต์ สำนักงานประกันสังคม ผ่าน App sso connect ผ่าน Line Official Account และดำเนินการตามขั้นตอน หรือ ยื่นเรื่องที่สำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานคร / พื้นที่ ที่สะดวก เอกสารที่จะต้องใช้แบบฟอร์มสปส.9-02
Q : กรณีผู้ประกันตน เปลี่ยนสถานพยาบาลแล้ว และไม่ทราบผลการเปลี่ยนหรือยัง สามารถตรวจสอบได้จากอะไร
A : ผู้ประกันตนสามารถ โทรสอบถามได้ที่สายด่วน 1506 หรือสำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานคร/ จังหวัด ที่สะดวก หรือ ตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเองที่เว็ปไซต์สำนักงานประกันสังคม App sso connect
ได้โดยตรง

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม   📞
คุณพนิตา แลโสภา  อีเมล: [email protected]   โทร. 02-218-0196

(Visited 444,555 times, 1 visits today)